3. ระบบสินค้าคงคลัง สามารถเลือกวิธีการคิดต้นทุนได้ 2 แบบ ได้แก่ แบบต้นทุนถัวเฉลี่ย, แบบเข้าก่อนออกก่อน (FIFO)
ข้อมูลส่วนใหญ่จะถูกส่งมาจากระบบซื้อและระบบขายสินค้า
1. สามารถกำหนดคลังสินค้าได้หลายคลัง โดยไม่จำกัดจำนวน
2. สามารถเลือกวิธีการคิดต้นทุนได้ 2 แบบ ได้แก่
- แบบต้นทุนถัวเฉลี่ย (Moving Weighted Average)
- แบบเข้าก่อนออกก่อน (FIFO = First-In-First-Out)
3. รองรับการขายสินค้าเป็นชุด (Component set=สินค้าที่มีส่วนประกอบมากกว่า 1 ชิ้น) เพียงแต่กำหนดว่าสินค้าชุดนั้นมีส่วนประกอบอะไรบ้าง เมื่อบันทึกการขาย ระบบบัญชี Express จะตัดส่วนประกอบในสต๊อคให้เองอัตโนมัติ
4. ในสินค้าชุดสามารถเลือกตัดส่วนประกอบและพิมพ์ส่วนประกอบในบิลได้ เพียงแต่กำหนดเป็นชุดพิเศษ
5. สามารถเลือกได้ว่าต้องการแสดงราคาขายที่ตัวสินค้าชุด หรือที่ส่วนประกอบ
6. ในการซื้อสินค้าชุด โปรแกรมบัญชี Express จะทำการแตกย่อยเป็นส่วนประกอบและเพิ่มในสต็อคให้ทันที
7. การเพิ่มสินค้าชุดใหม่ที่มีส่วนประกอบคล้ายกับสินค้าชุดเดิม สามารถก๊อปปี้สินค้าชุดเดิมมาแก้ไข-เพิ่มเติมได้ทันที
8. สินค้าชุด 1 ชุด มีส่วนประกอบได้ 999 รายการ
9. สามารถกำหนดหน่วยนับซื้อ, หน่วยนับขาย ต่างกับหน่วยนับหลักได้ (หน่วยนับที่เก็บไว้ในสต๊อคและเป็นหน่วยที่เล็กที่สุด) แต่ต้องมีอัตราส่วนที่สัมพันธ์กับหน่วยนับหลัก และมีทศนิยมได้ถึง 4 ตำแหน่ง
10. สินค้าที่เก็บเป็นหน่วยย่อย แต่สามารถพิมพ์รายงานแสดงหน่วยได้ 2 ระดับ เช่น ยอดคงเหลือ 5 ลัง 4 ซอง
11. มีตารางกำหนดอัตราส่วนต่อหน่วยนับหลักไว้ล่วงหน้า เพื่อสะดวกในการเรียกใช้ และควบคุม
12. ระบบสามารถนำค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการซื้อหรือนำเข้า มาเฉลี่ยเป็นต้นทุนสินค้าได้ เช่น ค่าขนส่ง, ค่าภาษีสรรพสามิต, อากรขาเข้า
13. สอบถามยอดคงเหลือในสต๊อคได้ตลอดเวลา ที่หน้าจอไหนก็ได้(กด Alt-F4) ทำให้ลูกค้าได้คำตอบทันทีโดยไม่ต้องรอนาน และไม่จำเป็นจะต้องออกจากงานที่เรากำลังทำอยู่
14. สามารถเลือกได้ว่าต้องการให้ยอดสินค้าติดลบได้หรือไม่ ถ้าติดลบได้ (เปิดบิลไปก่อน) เมื่อบันทึกรับสินค้าเข้า ระบบบัญชี Express จะกระทบยอดสินค้าและต้นทุนย้อนหลังให้เองโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าจะมีการเปิดบิลขายไปแล้วซักกี่ใบก็ตาม
15. สามารถกำหนดได้ว่าต้องการให้บุคลากรท่านใดทำการตัดสินค้าและติดลบในสต็อคได้บ้าง
16. สามารถเก็บข้อมูลได้ทั้งสินค้าสำเร็จรูป, วัตถุดิบ, สินค้ากึ่งสำเร็จรูป, สินค้าประกอบ และสินค้าบริการ
17. สามารถกำหนดราคาขายของสินค้าได้ 5 ระดับ และพิมพ์รายงาน Price List ได้
18. สามารถกำหนดราคาเสริม สำหรับจัดโปรโมชั่น โดยกำหนดเงื่อนไข (เช่นซื้อ 10 ชิ้น ลด 2%) และกำหนดช่วงวันตามที่เราต้องการ (เช่น ช็อค!ลดกระหน่ำ ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ถึง 31 กรกฎมคม 2544 นี้เท่านั้น)
19. สามารถบันทึกการเบิกหรือรับเข้าสต๊อคที่ไม่เกี่ยวกับการซื้อหรือขาย เช่น เบิกวัตถุดิบไปผลิต, รับสินค้าเข้าจากการผลิตฯ
20. สามารถพิมพ์และแก้ไขรูปแบบของเอกสารการเบิกหรือรับสินค้าเข้า ที่แตกต่างกันได้ถึง 3 รูปแบบ
21. มีระบบควบคุมการตรวจนับสินค้า เพื่ออำนวยความสะดวก รวดเร็ว และถูกต้อง
22. สามารถปรับเปลี่ยนรหัสสินค้าได้ตลอดเวลา
23. สามารถค้นหาข้อมูลตามรหัสสินค้า หรือชื่อสินค้า และมี Look up ในกรณีที่จำรหัสไม่ได้
24. มีแฟ้มเก็บสินค้าที่มี Serial No. หรือ Part No. (แยกต่างหาก ไม่เชื่อมโยงกับระบบอื่นๆ)
25. สามารถจัดแยกกลุ่มการคำนวณต้นทุนสินค้าว่ากลุ่มใดคำนวณแบบ FIFO และกลุ่มใดคำนวณแบบถัวเฉลี่ยภายในบัญชีสินค้าชุดเดียวกัน (สต๊อคเดียวกัน)
26. สามารถจัดแยกกลุ่มการบันทึกบัญชีสินค้า และบัญชีวัตถุดิบ ได้ตามต้องการ
27. สามารถกำหนดจุดสั่งซื้อ (Re-order) แยกตามเดือน เพื่อขายงานโครงการ หรือจัดโปรโมชั่นตามเทศกาล
28. สามารถกำหนดจุดสูงสุดของสินค้า (Maximum) แยกตามเดือนหรืองวด ได้ตามต้องการ
29. เตรียมคอลัมน์ วันที่ สำรองไว้ 2 คอลัมน์ต่อ 1 สินค้า เผื่อรองรับในกรณีที่ต้องการเพิ่มเติม
30. เตรียมคอลัมน์ ข้อความ สำรองไว้ 4 คอลัมน์ต่อ 1 สินค้า เผื่อรองรับในกรณีที่ต้องการเพิ่มเติม
31. เตรียมคอลัมน์ จำนวน (ตัวเลข) สำรองไว้ 1 คอลัมน์ต่อ 1 สินค้า เผื่อรองรับในกรณีที่ต้องการเพิ่มเติม
32. สามารถควบคุมระบบสินค้าด้วยรหัสแท่ง (Barcode) และเครื่องอ่านบาร์โค้ด
33. รองรับสินค้าที่อยู่ในกลุ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม(VAT)อัตราปกติ และกลุ่มที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม
34. สินค้าในแต่ละคลังสามารถแสดง ปริมาณ, ต้นทุน, มูลค่าสินค้า, ปริมาณค้างรับ, ปริมาณค้างส่ง, ชั้นที่เก็บสินค้า และแผนก ซึ่งทำให้ธุรกิจบางประเภทได้ข้อมูลสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง สามารถทราบวัสดุคงเหลือและต้นทุนของวัสดุที่นำไปใช้ในแต่ละไซด์งานได้ทันที
35. สามารถเลือกได้ว่าเมื่อทำการขายหรือเบิกสินค้า ที่ยอดคงเหลือต่ำกว่าจุดสั่งซื้อ ต้องการให้เตือนหรือไม่ระบบการจองสินค้าและการจัดจำหน่าย
-
ข้อมูลส่วนใหญ่จะถูกส่งมาจาก ระบบซื้อ, ระบบขาย, การเงิน และระบบอื่นๆ 1. จัดเตรียมผังบัญชีตัวอย่างไว้ให้ และสามารถ แก้ไข เพิ่มเติม ลบทิ้ง เพื่อให้ตรงกับระบบงานของบริษัทได้ 2. สามารถส...
-
1. สามารเลือกวิธีการคิดค่าเสื่อมราคาของสินทรัพย์ได้ 3 วิธี ได้แก่ - วิธีเส้นตรง (Straight-Line Method) - วิธีลดยอด (The Constant Percentage of Declining Book-Value Method) - คิดค่า...
-
ระบบจัดจำหน่ายสามารถพิมพ์และแก้ไขรูปแบบในแต่ละเอกสารที่แตกต่างกันได้ 1.สามารถพิมพ์ ใบเสนอราคา, บิลเงินสด และเฉพาะใบสั่งขาย, ใบกำกับสินค้า/ใบกำกับภาษี สามารถกำหนดได้ถึง 9 รูปแบบ 2. ...
-
ข้อมูลลูกหนี้จะถูกส่งมาจากระบบขายสินค้า 1. สามารถพิมพ์และแก้ไขรูปแบบในแต่ละเอกสารที่แตกต่างกันได้ถึง 3 รูปแบบ เช่น ใบวางบิล, ใบเสร็จรับเงิน, ใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษี, ใบลดหนี้/รั...
-
แก้ไขรูปแบบในแต่ละเอกสารที่แตกต่างกันได้ถึง 3 รูปแบบ เช่น ใบสั่งซื้อ และใบรับสินค้า 2. รองรับภาษีซื้อแบบที่ขอคืนได้ไม่เต็มจำนวน โดยระบบบัญชี Express จะเฉลี่ยภาษีซื้อที่ขอคืนได้และภ...
-
ข้อมูลเจ้าหนึ้จะถูกส่งมาจากระบบซื้อสินค้า 1. สามารถพิมพ์และแก้ไขรูปแบบในแต่ละเอกสารที่แตกต่างกันได้ถึง 3 รูปแบบ เช่น ใบรับวางบิล, ใบจ่ายเงิน, ใบลดหนี้/ส่งคืนสินค้า, ใบเพิ่มหนี้ และ...
-
เช็ครับและเช็คจ่ายจะถูกส่งมาจากการรับชำระหนี้ และจ่ายชำระหนี้ 1. สามารถพิมพ์และแก้ไขรูปแบบเช็คที่แตกต่างกันได้ 6 ธนาคาร 2. การรับชำระ/จ่ายชำระหนี้ด้วยเช็ค ระบบบัญชี Express จะนำเช็...
-
การรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการขายสินค้า และจัดทำเป็นรายงานทั้งแบบสรุปและแบบละเอียด ข้อมูลเปรียบเทียบ เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ประกอบด้วยรายงานดังต่อไปนี้ 1. ประว...
-
ข้อมูลจะถูกส่งมาจากระบบการซื้อสินค้า, ค่าใช้จ่ายอื่นๆ, ลดหนี้/ส่งคืนสินค้า, ขายสินค้า, รายได้อื่นๆ, ลดหนี้/รับคืนสินค้า และระบบบัญชี 1. สามารถบันทึกการซื้อ/ขายได้ทั้งแบบ ราคารวมภาษ...
-
การรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการซื้อสินค้า และจัดทำเป็นรายงานทั้งแบบสรุปและแบบละเอียด ข้อมูลเปรียบเทียบ เพื่อใช้ในการวางแผนการดำเนินงานของบริษัทฯในอนาคต ประกอบด้วยรายงานดังต่อไปนี้ 1. ป...
-
1. ผู้ดูแลระบบสามารถกำหนดสิทธิการใช้ข้อมูลของผู้ใช้งานแต่ละคนหรือแต่ละกลุ่ม ได้ตามต้องการ ทำให้ป้องกันผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปดูข้อมูลที่เป็นความลับ 2. ผู้ใช้แต่ละคน สามารถตั้งรหั...