วิธีคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่ายเงินเดือน (ภ.ง.ด.1)

[Image of การคำนวณภาษีเงินเดือนและเอกสาร ภ.ง.ด.1]

การคำนวณและนำส่งภาษีหัก ณ ที่จ่ายสำหรับเงินเดือน (ภ.ง.ด.1) เป็นหน้าที่สำคัญของผู้ประกอบการที่มีการจ้างพนักงาน แม้ว่าเรื่องภาษีอาจดูซับซ้อน แต่การทำความเข้าใจหลักการและขั้นตอนที่ถูกต้องจะช่วยให้ธุรกิจของคุณดำเนินการได้อย่างราบรื่น สอดคล้องกับกฎหมาย และยังช่วยให้พนักงานของคุณเข้าใจที่มาของตัวเลขที่ถูกหักไปในแต่ละเดือน บทความนี้จาก บริษัท ธนาคม แอดไวซ์เซอร์รี่ จำกัด จะอธิบายขั้นตอนการคำนวณ ภ.ง.ด.1 อย่างละเอียด พร้อมตัวอย่างและข้อควรรู้ เพื่อให้คุณสามารถจัดการเรื่องนี้ได้อย่างมั่นใจ

ทำความเข้าใจพื้นฐาน: ภาษีหัก ณ ที่จ่ายเงินเดือน (ภ.ง.ด.1) คืออะไร?

ภาษีหัก ณ ที่จ่ายเงินเดือน (ภ.ง.ด.1) คือ การที่ผู้จ่ายเงินได้ (นายจ้าง) ทำการหักภาษีจากเงินเดือนหรือค่าจ้าง (เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) แห่งประมวลรัษฎากร) ของผู้รับเงิน (ลูกจ้าง/พนักงาน) ณ วันที่มีการจ่ายเงินได้นั้นๆ แล้วนำส่งภาษีที่หักไว้นั้นให้แก่กรมสรรพากรเป็นรายเดือน

วัตถุประสงค์หลักของการหักภาษี ณ ที่จ่ายเงินเดือน:

  • เพื่อทยอยชำระภาษีล่วงหน้า: ช่วยบรรเทาภาระของลูกจ้างในการต้องชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจำนวนมากในคราวเดียวเมื่อถึงกำหนดการยื่นแบบแสดงรายการภาษีประจำปี (ภ.ง.ด.90 หรือ ภ.ง.ด.91)
  • เพื่อให้รัฐมีรายได้ต่อเนื่อง: เป็นการจัดเก็บภาษีล่วงหน้า ทำให้รัฐบาลมีกระแสเงินสดสำหรับบริหารประเทศอย่างสม่ำเสมอ
  • เพื่อความสะดวกในการบริหารจัดการภาษี: ทั้งสำหรับผู้เสียภาษีและกรมสรรพากร

ใครมีหน้าที่หักและนำส่ง ภ.ง.ด.1?

นายจ้าง หรือผู้จ่ายเงินได้ประเภทเงินเดือน ค่าจ้าง มีหน้าที่ต้องคำนวณ หักภาษี ณ ที่จ่ายจากเงินเดือนของลูกจ้าง และนำส่งให้กรมสรรพากรด้วยแบบ ภ.ง.ด.1 ภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดจากเดือนที่มีการจ่ายเงินได้ (หรือภายในวันที่ 15 หากยื่นผ่านระบบออนไลน์)

ใครบ้างที่ต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายจากเงินเดือน?

ลูกจ้างหรือพนักงาน ที่ได้รับเงินเดือน ค่าจ้าง โบนัส ค่าล่วงเวลา หรือเงินได้อื่นๆ ที่เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) และเมื่อคำนวณแล้วมีภาษีที่ต้องชำระ จะต้องถูกนายจ้างหักภาษี ณ ที่จ่าย

ขั้นตอนการคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่ายเงินเดือน (ภ.ง.ด.1) อย่างละเอียด

การคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่ายเงินเดือน มีขั้นตอนหลักๆ ดังนี้:

ขั้นตอนที่ 1: คำนวณเงินได้พึงประเมินทั้งปี

รวมเงินเดือนที่คาดว่าจะได้รับตลอดทั้งปีภาษี (ปกติคือ 12 เดือน) และเงินได้อื่นๆ ที่นายจ้างจ่ายให้ เช่น ค่าล่วงเวลา, ค่าคอมมิชชั่น, โบนัส (ถ้าทราบจำนวนที่แน่นอนหรือสามารถประมาณการได้)

เงินได้พึงประเมินทั้งปี = (เงินเดือนประจำ x 12) + เงินได้อื่นๆ ที่คาดว่าจะได้รับทั้งปี

ขั้นตอนที่ 2: หักค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล

กฎหมายอนุญาตให้หักค่าใช้จ่ายสำหรับเงินได้ประเภทเงินเดือนได้ 50% ของเงินได้พึงประเมิน (ที่คำนวณได้ในขั้นตอนที่ 1) แต่รวมกันแล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี

เงินได้หลังหักค่าใช้จ่าย = เงินได้พึงประเมินทั้งปี - ค่าใช้จ่าย (50% แต่ไม่เกิน 100,000 บาท)

ขั้นตอนที่ 3: หักค่าลดหย่อนต่างๆ

นำค่าลดหย่อนต่างๆ ที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับตามกฎหมายมาหักออกจากเงินได้หลังหักค่าใช้จ่าย ค่าลดหย่อนที่พบบ่อย ได้แก่:

  • ค่าลดหย่อนส่วนตัว: 60,000 บาท
  • ค่าลดหย่อนคู่สมรส (ที่ไม่มีเงินได้ หรือมีเงินได้และเลือกยื่นรวม): 60,000 บาท
  • ค่าลดหย่อนบุตร (ตามเงื่อนไขและจำนวนที่กฎหมายกำหนด): เช่น บุตรคนละ 30,000 บาท (หรือ 60,000 บาทสำหรับบุตรคนที่สองเป็นต้นไปที่เกิดตั้งแต่ปี 2561)
  • ค่าลดหย่อนบิดามารดา (ตามเงื่อนไข): คนละ 30,000 บาท
  • ค่าลดหย่อนเบี้ยประกันสังคม (ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินเพดานที่กฎหมายกำหนด): สูงสุด 9,000 บาทต่อปี (สำหรับปี 2567 อาจมีการเปลี่ยนแปลง ควรตรวจสอบอัตราปัจจุบัน)
  • ค่าลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิต / ประกันสุขภาพ (ตามเงื่อนไข)
  • ค่าลดหย่อนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ / กบข. / RMF / SSF (ตามเงื่อนไขและเพดานที่กำหนด)
  • ค่าลดหย่อนดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (ตามเงื่อนไข)
  • เงินบริจาค (ตามเงื่อนไข)

รายการและจำนวนค่าลดหย่อนอาจมีการเปลี่ยนแปลง ควรตรวจสอบข้อมูลล่าสุดจากกรมสรรพากร

เงินได้สุทธิเพื่อคำนวณภาษี = เงินได้หลังหักค่าใช้จ่าย - ยอดรวมค่าลดหย่อนทั้งหมด

ขั้นตอนที่ 4: คำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ต้องเสียทั้งปี

นำเงินได้สุทธิที่คำนวณได้ในขั้นตอนที่ 3 มาคำนวณภาษีตามอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแบบขั้นบันได (Progressive Rate) ดังนี้ (อัตราภาษีสำหรับปีภาษี 2566 เป็นต้นไป โปรดตรวจสอบอัตราล่าสุดเสมอ):

เงินได้สุทธิ (บาท)อัตราภาษีภาษีสูงสุดของขั้น
0 - 150,000 ยกเว้น 0
150,001 - 300,000 5% 7,500
300,001 - 500,000 10% 20,000
500,001 - 750,000 15% 37,500
750,001 - 1,000,000 20% 50,000
1,000,001 - 2,000,000 25% 250,000
2,000,001 - 5,000,000 30% 900,000
5,000,001 บาทขึ้นไป 35% -
ภาษีที่ต้องชำระทั้งปี = (เงินได้สุทธิในแต่ละขั้น x อัตราภาษีของขั้นนั้น) รวมกันทุกขั้น

ขั้นตอนที่ 5: คำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่ายที่ต้องนำส่งรายเดือน

นำภาษีที่ต้องชำระทั้งปี (จากขั้นตอนที่ 4) มาหารด้วยจำนวนเดือนที่จ่ายเงินได้ (ปกติคือ 12 เดือน) เพื่อให้ได้จำนวนภาษีที่นายจ้างต้องหักจากเงินเดือนในแต่ละเดือน

ภาษีหัก ณ ที่จ่ายรายเดือน = ภาษีที่ต้องชำระทั้งปี / 12

ตัวอย่างการคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่าย (ภ.ง.ด.1)

สมมติ นาย ก. มีเงินเดือนประจำเดือนละ 35,000 บาท ไม่มีเงินได้อื่น ไม่มีคู่สมรส ไม่มีบุตร มีสิทธิลดหย่อนส่วนตัว และจ่ายประกันสังคมเต็มจำนวน (สมมติ 9,000 บาทต่อปี)

  1. เงินได้พึงประเมินทั้งปี: 35,000 บาท/เดือน x 12 เดือน = 420,000 บาท
  2. หักค่าใช้จ่าย: 50% ของ 420,000 = 210,000 บาท แต่หักได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท
    ดังนั้น หักค่าใช้จ่ายได้ = 100,000 บาท
  3. เงินได้หลังหักค่าใช้จ่าย: 420,000 - 100,000 = 320,000 บาท
  4. หักค่าลดหย่อน:
    • ค่าลดหย่อนส่วนตัว: 60,000 บาท
    • ค่าลดหย่อนประกันสังคม: 9,000 บาท
    • รวมค่าลดหย่อนทั้งหมด: 60,000 + 9,000 = 69,000 บาท
  5. เงินได้สุทธิเพื่อคำนวณภาษี: 320,000 - 69,000 = 251,000 บาท
  6. คำนวณภาษีเงินได้ทั้งปี:
    • เงินได้สุทธิ 0 - 150,000 บาท (จำนวน 150,000 บาท) ได้รับการยกเว้นภาษี = 0 บาท
    • เงินได้สุทธิส่วนที่เกิน 150,000 บาท แต่ไม่เกิน 300,000 บาท:
      (251,000 - 150,000) = 101,000 บาท x 5% = 5,050 บาท
    • รวมภาษีที่ต้องชำระทั้งปี: 0 + 5,050 = 5,050 บาท
  7. คำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่ายรายเดือน: 5,050 บาท / 12 เดือน = 420.83 บาท (โดยประมาณ)

ดังนั้น ในแต่ละเดือน นาย ก. จะถูกนายจ้างหักภาษี ณ ที่จ่ายประมาณ 420.83 บาท

หน้าที่ของผู้เกี่ยวข้องกับการหักภาษี ณ ที่จ่ายเงินเดือน

หน้าที่ของนายจ้าง (ผู้จ่ายเงินได้):

  • คำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่ายจากเงินเดือนของลูกจ้างแต่ละคนให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์
  • หักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ทุกครั้งที่มีการจ่ายเงินเดือน
  • นำส่งภาษีที่หักไว้ต่อกรมสรรพากรด้วยแบบ ภ.ง.ด.1 ภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดจากเดือนที่มีการจ่ายเงินได้ (หรือภายในวันที่ 15 หากยื่นผ่านระบบออนไลน์)
  • ออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) ให้แก่ลูกจ้างภายในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ของปีถัดจากปีภาษี หรือภายใน 1 เดือนนับแต่วันที่ลูกจ้างออกจากงานระหว่างปีภาษี

หน้าที่ของลูกจ้าง (ผู้มีเงินได้):

  • แจ้งรายการและจำนวนค่าลดหย่อนต่างๆ ที่ตนเองมีสิทธิได้รับให้นายจ้างทราบ เพื่อใช้ในการคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่าย (เช่น การแจ้งใช้สิทธิลดหย่อนบุตร, บิดามารดา, เบี้ยประกัน ฯลฯ ผ่านแบบ ล.ย.01)
  • เมื่อสิ้นปีภาษี มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.90 หรือ ภ.ง.ด.91) ต่อกรมสรรพากร เพื่อสรุปรายได้ทั้งปีและคำนวณภาษีที่ถูกต้อง
  • นำจำนวนภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่ายไปตลอดทั้งปี (ตามหนังสือรับรอง 50 ทวิ) มาเครดิต (หัก) ออกจากภาษีที่คำนวณได้ หากมีภาษีที่ชำระไว้เกิน จะมีสิทธิขอคืนภาษี แต่หากชำระไว้น้อยกว่า จะต้องชำระภาษีเพิ่มเติม

เคล็ดลับและแหล่งข้อมูลเพิ่มเติม

  • การเปลี่ยนแปลงค่าลดหย่อนระหว่างปี: หากลูกจ้างมีการเปลี่ยนแปลงสิทธิลดหย่อนระหว่างปี (เช่น มีบุตรเพิ่ม, เริ่ม/หยุดจ่ายเบี้ยประกัน) ควรแจ้งให้นายจ้างทราบเพื่อปรับปรุงการคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่ายให้ถูกต้องยิ่งขึ้น
  • โปรแกรมคำนวณภาษี: ปัจจุบันมีโปรแกรมบัญชีและเว็บไซต์มากมายที่ช่วยในการคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่าย รวมถึงโปรแกรมของกรมสรรพากรเอง ซึ่งสามารถช่วยให้การคำนวณง่ายและแม่นยำยิ่งขึ้น
  • เว็บไซต์กรมสรรพากร (www.rd.go.th): เป็นแหล่งข้อมูลหลักเกี่ยวกับกฎหมายภาษี อัตราภาษี ค่าลดหย่อน และแบบฟอร์มต่างๆ ที่เป็นปัจจุบันและน่าเชื่อถือที่สุด
  • ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: หากมีข้อสงสัยหรือกรณีที่ซับซ้อน การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านบัญชีและภาษี หรือสำนักงานบัญชี เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดเพื่อให้มั่นใจในความถูกต้อง

  • ในโลกธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง การสร้างความประทับใจแรกและความชัดเจนเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ใบเสนอราคา (Quotation หรือ Quote) ไม่ได้เป็นเพียงเอกสารแจ้งราคา แต่เป็นเครื่องมือทางการตลาด...

  • ใบกำกับภาษี (Tax Invoice) คือเอกสารสำคัญยิ่งสำหรับผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ไม่เพียงแต่เป็นหลักฐานแสดงการซื้อขายสินค้าหรือบริการ แต่ยังเป็นหัวใจสำคัญของระบบภาษี...

  • ใบแจ้งหนี้ (Invoice) คือเอกสารสำคัญที่ทุกธุรกิจ SME ไม่ควรมองข้าม ไม่เพียงแต่ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการเรียกเก็บเงินค่าสินค้าหรือบริการเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความเป็นมืออาชีพ คว...

  • ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ประกอบการ SME ที่กำลังมองหาสถานที่สำหรับธุรกิจ หรือเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่ต้องการปล่อยเช่า สัญญาเช่าอาคาร (Building Lease Agreement) ถือเป็นเอกสารทางกฎหมายที่มีคว...

  • สำหรับเจ้าของธุรกิจ SME ทุกท่าน ไม่ว่าจะเป็นบริษัทจำกัด หรือห้างหุ้นส่วนจำกัด การทำความเข้าใจเรื่อง "ภาษีเงินได้นิติบุคคล" เปรียบเสมือนการติดอาวุธทางปัญญาให้ธุรกิจของคุณเติบโตอย่าง...
Visitors: 2,090,821